In บทความ, วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ชีวิตดี๊ดี! ความสุขเป็นของเฉพาะตน

smile

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนไปส่งพี่สาวตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนนั่งรอพี่สาวอยู่ในรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง และสังเกตเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยวัยหนุ่มคนหนึ่งสีหน้าท่าทางร่าเริงแจ่มใสทำงานโบกรถเข็นรถอย่างตั้งใจใส่ใจและมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจความเห็นคุณค่าและความมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลาที่เขาได้ทำงาน

ฉันมีความสุขและพึงพอใจมากกับวิถีชีวิต
และมิตรภาพที่ทำงานอยู่กับชาวบ้าน
ในชนบทบ้านเกิดที่ฉันรักยิ่ง

นื่องจากมีรถมาใช้บริการมาก จึงมีรถคันอื่นๆที่จอดขวางรถคันที่จอดตามช่องปกติ แต่ต้องปลดเกียร์ว่างไว้เพื่อให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเข็นได้ จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่ง ณ จุดที่ผู้เขียนจอดรถอยู่นั้น เป็นช่วงที่มีรถอีกคันหนึ่งมาจอดขวางพอดีซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ก้อนหินมาค้ำยันล้อรถไว้ ผู้เขียนได้ยินเสียงหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยสั่งการให้ รปภ.หนุ่มคนดังกล่าวนำก้อนหินมาค้ำยัน จากนั้นจึงเห็นเขาวิ่งไปหาก้อนหินด้วยความกระตือรือร้นและนำมาค้ำยันไว้ที่ล้อรถคันดังกล่าว เมื่อเขาก้มลงนำก้อนหินไปค้ำยันเสร็จแล้วจึงลุกขึ้นยืนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมทั้งพูดด้วยสำเนียงของพี่น้องชนเผ่าว่า “โอ้! ชีวิตดี๊ดี” พร้อมชูแขนทั้งสองข้างขึ้น

dft

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนความคิดให้ผู้เขียนได้ตระหนักยิ่งขึ้นว่า ความสุขและความพึงพอใจที่แท้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับระดับและรูปแบบความคาดหวัง การให้คุณค่าและความหมายในความคิดและความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน เช่นบางคนอาจให้ความหมายของความสุขและสำเร็จที่การมีเงินมากๆ การมีมิตรมากๆ การได้รับการยกย่องเชิดชูมากๆ หรือบางคนมีความสุขและความพึงพอใจกับการได้อยู่คนเดียวเงียบเงียบหรือดำรงชีวิตอยู่ในป่าทึบที่ไร้ผู้คน เพราะแท้จริงความสุขและความสำเร็จเป็นเรื่องเฉพาะตน

ปรัชญาชีวิตที่อิงธรรมชาติและลึกซึ้งนั้น ความสำเร็จและความสุขของอีกคนก็ไม่ใช่ความสุขและความสำเร็จของอีกคน ช่วงเวลาดีดีหรือเวลาร้ายร้ายของอีกคนก็ไม่ใช่ห้วงเวลาเดียวกันของอีกคน ในคนหนึ่งคนมีความเป็นปัจเจกสารพัดอย่างอยู่ในนั้น ที่มิอาจเทียบเคียงได้กับใครใครทั้งสิ้น หากเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้งและใช้ชีวิตอยู่อย่างเข้าใจ จะน้อมนำชีวิตให้มีความสงบสุขจากโลกภายในใช่เปลือกนอกที่เป็นเพียงโลกธรรมแปดเท่านั้น

เช่นเดียวกันกับเพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งหลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วจึงไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพพร้อมกับเรียนเสริมสวยไปด้วย จากนั้นกลับมาเป็นครูสอนโรงเรียนเสริมสวยชั้นนำและยังเป็นแชมป์แต่งหน้าทำผมของภาคเหนืออีกด้วย ซึ่งทำผมให้กับกลุ่มสตรีสังคมชั้นนำแทบทั้งสิ้น ชีวิตก็ดูหรูหรารุ่งโรจน์ดี แต่ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจกลับไปเปิดร้านเสริมสวยเล็กๆอยู่ในบ้านเกิดของเขาพร้อมเลี้ยงดูพ่อวัย 90 ปี หลังจากพ่อเสียชีวิตไปแล้วเขาก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเช่นเดิม เขาบอกกับผู้เขียนว่า”ฉันมีความสุขและพึงพอใจมากกับวิถีชีวิตและมิตรภาพที่ทำงานอยู่กับชาวบ้านในชนบทบ้านเกิดที่ฉันรักยิ่ง” เป็นต้น

ความสุขจากความพึงพอใจและอิ่มใจจากโลกภายในของแต่ละคนนั้นเรียกว่า”นิรามิสสุข”เป็นสุขที่สงบสว่างสะอาดสันติปราศจากสิ่งกระตุ้นเราจากภายนอกด้วยรูปรสกลิ่นเสียง เป็นสุขสงบที่แท้จริง ส่วนสุขโดยสมมุตินั้นเรียกว่า “อามิสสุข”เป็นความสุขที่นำไปเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับปัจจัยภายนอกในเรื่องการเงินการงานชื่อเสียงเกียรติยศ ฯล ซึ่งเป็นสิ่งไม่จีรัง ถือเป็นความสุขทางโลก เมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถผสมผสานความสุขจากทั้งโลกภายในและความสุขจากโลกภายนอกได้อย่างลงตัวแล้วนั่นแหละคือความพอเพียง ชีวิตจะดำเนินไปอย่างสงบสุขในรูปแบบของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ไร้การเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น

เราทุกๆคนควรหันมาถามตัวเองกันแล้วล่ะครับว่า? วันนี้เรามีชีวิตสงบสุขจากโลกภายในซึ่งเป็นของเฉพาะตนหรือจากโลกภายนอกที่แปรปรวนและไร้การควบคุม หรือจะสุขอย่างผสมผสานที่ลงตัวและพอเพียง แต่ความจริงแท้แน่นอนที่สุดก็คือเมื่อไหร่ที่โลกภายในของแต่ละคนสงบสุขก็จะส่งผลให้โลกภายนอกคือครอบครัวและสังคมสงบสุขตามมาในที่สุด

วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ Wuttipong Academy, กรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง

Recommended Posts